The Importance of Marketing Mix Factors and Attitudes towards Electric Vehicles among SME Entrepreneurs.

Abstract

This study aims to investigate the attitudes of 400 SMEs towards electric vehicles (EVs) and their perceptions of the importance of the seven elements of the marketing mix. The SPSS program was used to analyze the data, including frequency, percentage, rating scale, mean, and standard deviation (S.D.). Relationships between variables were examined using the Chi-square test, t-test, and one-way ANOVA and pairwise differences were analyzed using Scheffe’s method, with statistical significance set at the 0.05 level.The findings revealed that most respondents were male, aged between 25 and 35, held a bachelor's degree or lower, earned 30,000–35,000 baht per month, resided in private homes within the Bangkok metropolitan area and operated production-related businesses.Regarding attitudes towards EVs, most respondents currently use internal combustion engine vehicles, with Honda being the most commonly used brand. The main factor influencing brand consideration was brand reputation. The majority of these vehicles had been in use for 5 to 10 years. BYD emerged as the most recognized EV brand, with social media identified as the leading source of automotive information.Respondents perceived reduced pollution as the primary advantage of EVs and hybrid vehicles. However, internal combustion engine vehicles were seen as having better access to repair and maintenance services. BYD was the preferred future EV purchase option within the 1,000,001 - 2,000,000 baht price range, with fuel cost savings cited as the primary purchase motivation. Most respondents considered EVs to be of better quality than Hybrid vehicles.The overall importance given to marketing mix elements for EVs was rated very high (x̄ = 4.58). In descending order of importance, respondents rated the following elements: People (x̄ = 4.62), Product (x̄ = 4.60), Process (x̄ = 4.60), Promotion (x̄ = 4.56), Profile (x̄ = 4.56), Place (x̄ = 4.56), and Price (x̄ = 0.54).Analysis of the relationship between attitudes towards EVs and personal factors revealed that gender, age, education level, monthly income, residence location, housing type, and Type of business had a statistically significant relationship at the .05 level.The comparison of the importance of the marketing mix based on personal demographic factors revealed that respondents with different levels of age, education level, monthly income, residence location, housing type, and Type of business had significantly different perceived importance of the marketing mix at the .05 level. The comparison of the importance of the marketing mix based on attitudes towards EVs vehicles, classified into three groups: Group 1 believed that EVs were of higher quality than Hybrid vehicles, Group 2 believed that EVs are of similar quality to Hybrid vehicles, and Group 3 believes that EVs are of lower quality than Hybrid vehicles, showed that attitudes towards EVs vehicles significantly affect the importance of the marketing mix at the .05 level

งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาทัศนคติที่มีต่อรถยนต์ EV และการให้ความสำคัญต่อส่วนผสมทางการตลาดในภาพรวมและรายด้านทั้ง 7 ด้านของกลุ่มผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่มีประสบการณ์ในการใช้รถยนต์เป็นกิจวัตรประจำวันจำนวน 400 ตัวอย่าง โดยใช้โปรแกรม SPSS ในการวิเคราะห์ข้อมูล ค่าความถี่ (Frequency) แล้วสรุปออกมาเป็นค่า ร้อยละ (Percentage) แบบมาตรฐานส่วนประมาณค่า (Rating Scale) ใช้วิธีการหาค่าเฉลี่ย (Mean : x̄) และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation : S.D.) ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรใช้วิธีการหาค่า Chi-Square ความแตกต่างด้วย t-test และใช้การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) และวิเคราะห์เปรียบเทียบความแตกต่างเป็นรายคู่โดยใช้ Scheffe Analysis โดยกำหนดนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผลการวิจัยพบว่ากลุ่มผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศชาย มีอายุระหว่าง 25 – 35 ปี ระดับการศึกษาปริญญาตรีหรือต่ำกว่า มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 30,000 - 50,000 บาท สถานที่พักอาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล มีรูปแบบของที่พักอาศัยเป็นบ้านพักส่วนตัว และประกอบธุรกิจประเภทการผลิตผลการวิจัยด้านทัศนคติที่มีต่อรถยนต์ EV พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ใช้รถยนต์สันดาปภายใน แบรนด์ของรถยนต์ที่ใช้ในปัจจุบันคือ Honda เหตุผลในการเลือกใช้รถยนต์คือ ยี่ห้อ จำนวนปีของรถยนต์ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันอยู่ระหว่าง 5 - 10 ปี แบรนด์รถยนต์ EV ที่รู้จักคือ BYD ช่องทางการได้รับข่าวสารเกี่ยวกับรถยนต์คือ โซเชียลมีเดีย มีความคิดเห็นต่อข้อดีของรถยนต์ EV คือ ลดมลพิษ ข้อดีของรถยนต์ไฮบริด คือ ลดมลพิษ ข้อดีของรถยนต์สันดาปภายใน คือ มีอู่ซ่อมบำรุงรักษาทั่วถึงหาง่าย แบรนด์รถยนต์ EV ที่จะเลือกหากต้องซื้อในอนาคตคือ BYD ราคาที่สนใจอยู่ระหว่าง 1,000,001 – 2,000,000 บาท เหตุผลของการตัดสินใจซื้อรถยนต์ EV คือ ประหยัดค่าเชื้อเพลิง และมีความคิดเห็นต่อการเปรียบเทียบรถยนต์ EV กับรถยนต์ไฮบริด คือ รถยนต์ EV มีคุณภาพดีกว่ารถยนต์ไฮบริดผลการวิจัยด้านการให้ความสำคัญต่อส่วนผสมทางการตลาดของรถยนต์ EV โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (x̄ = 4.58) สำหรับการพิจารณารายด้าน พบว่า ความสำคัญต่อส่วนผสมทางการตลาดระดับมากที่สุด ได้แก่ ด้านบุคลากรที่เกี่ยวข้อง (People) (x̄ = 4.62), ด้านผลิตภัณฑ์ (Product) (x̄ = 4.60), ด้านกระบวนการให้บริการ (Process) (x̄ = 4.60), ด้านการส่งเสริมการขาย (Promotion) (x̄ = 4.56), ด้านภาพลักษณ์องค์กร (Profile) (x̄ = 4.56), ด้านสถานที่ซื้อและช่องทางจัดจำหน่าย (Place) (x̄ = 4.56) และด้านราคา (Price) (x̄ = 0.54) ตามลำดับผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างทัศนคติที่มีต่อรถยนต์ EV กับปัจจัยพื้นฐานส่วนบุคคล พบว่า เพศ อายุ ระดับการศึกษา รายได้เฉลี่ยต่อเดือน รูปแบบของที่พักอาศัย และประเภทของธุรกิจ มีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05ผลการเปรียบเทียบความแตกต่างของความสำคัญของส่วนผสมทางการตลาดจำแนกตามปัจจัยพื้นฐานส่วนบุคคล พบว่า อายุ ระดับการศึกษา รายได้เฉลี่ยต่อเดือน สถานที่พักอาศัย รูปแบบของที่พักอาศัย และประเภทของธุรกิจ ที่แตกต่างกันจะมีความคิดเห็นต่อความสำคัญของส่วนประสมทางการตลาดแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05ผลการเปรียบเทียบความแตกต่างของความสำคัญของส่วนผสมทางการตลาดจำแนกตาม ทัศนคติที่มีต่อรถยนต์ EV เป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ 1 รถยนต์ EV มีคุณภาพดีกว่ารถยนต์ไฮบริด กลุ่ม ที่ 2 รถยนต์ EV มีคุณภาพใกล้เคียงกับรถยนต์ไฮบริด กลุ่มที่3 รถยนต์ EV มีคุณภาพด้อยกว่ารถยนต์ ไฮบริด พบว่า ทัศนคติที่แตกต่างกันจะให้ความสำคัญต่อส่วนผสมทางการตลาดแตกต่างกันอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05